รู้ก่อนเลือก! กล่องลูกฟูก 5 ชั้น ใช้กับสินค้าประเภทไหนถึงคุ้มค่า !?

การเลือกใช้กล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นให้เหมาะสมกับสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการมักมองข้าม ทำให้เกิดการสูญเสียจากสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง กล่องลูกฟูก 5 ชั้นไม่ใช่กล่องธรรมดา แต่เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนัก 35 – 50 กิโลกรัม และทนทานต่อแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี

การเข้าใจและรู้จักสินค้าว่าประเภทไหนที่เหมาะสมกับกล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น จะช่วยให้ธุรกิจนั้นสามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างปลอดภัย สินค้าไม่เสียหาย สร้างมาตรฐานการจัดส่งสินค้าให้กับธุรกิจเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า บทความนี้เราจะมาแชร์ว่าสินค้าประเภทใด น้ำหนักเท่าไหร่จึงจะเหมาะกับการเลือกใช้กล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นกันค่ะ

สินค้าประเภทไหนที่ควรใช้กล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น

สินค้าที่เหมาะสมกับกล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น คือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ หรือมน้ำหนักมาก 25 – 50 กิโลกรัม หรือสินค้าที่ต้องการความแข็งแรงในการปกป้องเป็นเศษ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไหล่เครื่องจักร และสินค้าส่งออกที่ต้องขนส่งทางเรือ การใช้กล่องลัง 3 ชั้นกับสินค้าหนักเกิน 25 กิโลกรัม มีความเสี่ยงยุบตัวสูง 60 – 80%

การออกแบบกล่องเฉพาะตามประเภทสินค้าดีอย่างไร

PICK A BOX เราเชี่ยวชาญการออกแบบกล่องกระดาษลูกฟูกทุกรูปแบบ ตั้งแต่แบบ 3 ชั้น ไปจน 5 ชั้น เฉพาะตามลักษณะ และความเหมาะสมของสินค้าแต่ละประเภท และตอบโจทย์สำหรับแบรนด์สินค้าที่มีปัญหาเรื่องกล่องบรรจุภัณฑ์ ด้วยประสบการณ์การออกแบบและผลิตกล่องลังกระดาษให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะแบรนด์สินค้าไทยหรือแบรนด์จากต่างประเทศ เราพัฒนาเทคนิคการออกแบบและผลิตกล่องที่ตอบโจทย์ และความท้าทายข้อจำกัดของการขนส่งสินค้าที่มีความซับซ้อน ไม่ใช่แค่การใส่สินค้าในกล่อง แต่เป็นการสร้างระบบป้องกันที่ครอบคลุมทุกมิติ
อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้การออกแบบกล่องของ PICK A BOX ที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาสินค้าแตกเสียหาย และป้องกันสินค้าหาถูกส่งถึงมือลูกค้าอย่างสภาพไม่สมบูรณ์คือ SuperLock ตัวช่วยที่ช่วยล็อคสินค้าภายในกล่องไม่ว่าสินค้าจะขนาดเท่าไหร่ สินค้าประเภทไหน หรือจะมาน้ำหนักมากน้อยเพียงใด ทางทีมงาน PICK A BOX ของเราสามารถคำนวนได้อย่างแม่นยำ เพื่อการออกแบบดีไซน์ SuperLock สำหรับล็อคสินค้าให้อยู่ภายในกล่องลังกระดาษในสภาพส่งถึงมือลูกค้าอย่างสมบูรณ์

คู่มือเลือกกล่องตามประเภทสินค้าและน้ำหนัก

1. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (20 – 40 กิโลกรัม)

ใช้กล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นพร้อมฟองน้ำเสริม เน้นการป้องกันแรงสั่นสะเทือนและไฟฟ้าสถิต
เหตุผล : อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้นเตอร์ มอนิเตอร์ มีชิ้นส่วนภายในที่บอบบาง การสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายแผงวงจรได้ ไฟฟ้าสถิตจากการเสียดสีระหว่างขนส่งอาจทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์หรือ Memory การใช้ฟองน้ำ Anti-Static ESD Grade จะดูดซับแรงกระแทกและระบายไฟฟ้าสถิตพร้อมกัน

2. เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดกลาง (25 – 50 กิโลกรัม)

ใช้กล่อง 5 ชั้นแบบ Double Wall Bottom เพิ่มแผ่นรองก้นเสริมและหูหิ้วพิเศษ
เหตุผล : เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น ไมโครเวฟ มีน้ำหนักกระจุกตัวที่ก้นกล่อง การยกหรือเคลื่อนย้ายจะส่งแรงกดลงจุดเดียว แผ่นรองก้นเดียวรับแรงกดไม่ได้ จึงต้องใช้ Double Wall ที่มีความหนารวม 8 – 10 มิลลิเมตร หูหิ้วแบบ Reinforced ต้องรับน้ำหนักได้ 1.5 เท่าของสินค้า เพื่อป้องกันขาดระหว่างขนย้าย การออกแบบกล่องผิดจะทำให้ก้นกล่องทะลุได้ 60%

3. อะไหล่เครื่องจักรและโลหะ (30 – 60 กิโลกรัม)

ใช้กล่อง 5 ชั้นหนาพิเศษ พร้อมกันกระแทกด้านในเพื่อป้องกันการเกิดสนิม
เหตุผล : อะไหล่เหล็ก อลูมิเนียม มอเตอร์ เกียร์ มีพื้นผิวที่เสี่ยงต่อการขีดข่วนและการเกิดสนิม การชนกันระหว่างชิ้นส่วนจะสร้างรอยขีดข่วนที่เป็นจุดเริ่มต้นของสนิม กระดาษพิเศษที่หนากว่ามาตรฐานเพื่อรับน้ำหนักโลหะที่กระจุกตัว วัสดุกันกระแทกแบบ Corrugated Insert จะแยกชิ้นส่วนและดูดซับการสั่นสะเทือน การเลือกกล่องบางเกินไปจะทำให้โลหะทะลุกล่องลังกระดาษและขีดข่วนกันเอง สูญเสียมูลค่าสินค้า 20 – 40%

4. สินค้าแก้วและเซรามิก (15 – 35 กิโลกรัม)

ใช้กล่อง 5 ชั้นแบบ Anti-Shock Design พร้อมช่องแยกสินค้าและวัสดุกันกระแทกพิเศษ
เหตุผล : จานชาม แก้วใส เครื่องเคลือบ มีความเปราะบางสูง แรกกระแทกเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้แตกได้ Anti-Shock Design ใช้หลักการ Zone Protection แบ่งพื้นที่เป็นช่องๆ ป้องกันการชนกัน วัสดุกันกระแทกแบบ Bubble Wrap หนา 10 มิลลิเมตร หรือ EPE Foam จะห่อหุ้มสินค้าแต่ละชิ้น การออกแบบต้องคำนึงถึงการกระจายแรงกระแทกและการยึดตำแหน่งสินค้าไม่ให้เลื่อนไถล ถ้าใช้กล่องธรรมดาจะมีอัตราสินค้าแตกสูง
การเลือกกล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นให้เหมาะสมกับสินค้าต้องคำนึงถึงน้ำหนัก ลักษณะสินค้า และสภาพการขนส่ง สินค้าที่มีน้ำหนัก 25 – 50 กิโลกรัม หรือต้องการความแข็งแรงพิเศษควรใช้กล่อง 5 ชั้น การใช้กล่องคุณภาพดีจะช่วยลดต้นทุนการชดเชยและสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ขณะที่การประหยัดค่ากล่องในระยะสั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียที่มากกว่าในระยะยาว
การเลือกใช้กล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นที่เหมาะสมต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและประสบการณ์ในการออกแบบ สินค้าของคุณสมควรได้รับการปกป้องที่ดีที่สุดเพื่อมาถึงลูกค้าในสภาพสมบูรณ์แบบ หากคุณกำลังมองหากล่องกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นที่มีคุณภาพสูง เรา PICK A BOX โรงงานผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์จากกระดาษครบวงจร เข้ามาปรึกษาทีมงานเราได้เลย ไม่ว่าคุณจะกังวลเรื่องโครงสร้าง การเลือกรูปแบบกล่องให้เหมาะกับสินค้า การออกแบบบริการต่างๆ ไปจนขั้นต่ำที่เรารับผลิตสามารถเข้าปรึกษาทีมงานผู้ชำนาญการของเราได้เลยตามด้านล่างนี้
หรือช้อปสินค้าพร้อมส่งได้เลย แค่คลิก!

รู้ก่อนซื้อ! คู่มือราคากล่องพัสดุที่ทั้งคุ้มและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์

หลายๆ ท่านที่กำลังเริ่มต้นปั้นแบรนด์สินค้า หรือก้าวสู่ธุรกิจขายออนไลน์ อาจจะเคยสงสัยใช่ไหมว่า ทำไมราคากล่องพัสดุถึงต่างกันขนาดนี้ล่ะ? หากค้นหาในร้านค้าออนไลน์อาจจะเห็นว่าราคากล่องพัสดุของร้านแรก ตกกล่องใบละ 2 บาท เจ้าที่สองอาจจะสูงขึ้นมาหน่อยเป็นใบละ 5 บาท หรือเจ้าที่สามราคาโดดสูงขึ้นมาหน่อยเป็น 10 บาท ไม่ใช่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทุกคนจะเข้าใจว่าทำราคาถึงต่างกันขนาดนั้น วันนี้เราจะแชร์ และแนะนำแนวทางการเลือกกล่องพัสดุอย่างไรให้ทั้งคุ้มและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์!

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคากล่องพัสดุมีอะไรบ้าง?

หลายคนคิดว่าราคากล่องพัสดุขึ้นอยู่กับขนาดอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีผลต่อราคาเลย เช่นทั้ง 4 หัวข้อดังต่อไปนี้

1. วัสดุและความหนา

คือตัวกำหนดราคากล่องพัสดุเป็นหลัก กล่องกระดาษลูกฟูกมีหลายเกรด เริ่มจาก 3 ชั้น 5 ชั้น ไปจนถึง 7 ชั้น ยิ่งหนายิ่งแข็งแรง ราคายิ่งแพง แต่ก็ปกป้องสินค้าได้ดีกว่า สำหรับสินค้าทั่วไป กล่อง 3 ชั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นของเปราะหรือหนัก ควรเลือก 5 ชั้นจะปลอดภัยกว่า

2. ขนาดและรูปทรง

ก็มีผลต่อราคากล่องพัสดุเหมือนกัน กล่องขนาดมาตรฐานจะถูกกว่ากล่องไซส์พิเศษ เพราะผู้ผลิตสามารถทำจำนวนมากได้ ส่วนกล่องรูปทรงพิเศษหรือไดคัทจะแพงกว่าเพราะต้องใช้แม่พิมพ์เฉพาะ

3. ระบบการพิมพ์และสี

หากพิมพ์สียิ่งเยอะ ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้น เช่น การพิมพ์ 1 สีจะถูกกว่า 4 สี นอกจากนี้ระบบการพิมพ์ก็มีผลกับราคาของกล่องพัสดุ เพราะราคาต้นทุนของสีแต่ละระบบต่างกัน

4. จำนวนการสั่ง

เป็นหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนมองข้าม เนื่องจากยิ่งสั่งมากราคาต้นทุนการผลิตยิ่งถูก แต่ก็ต้องคิดเรื่องพื้นที่เก็บและเงินทุนหมุนเวียนด้วย

วิธีคำนวณต้นทุนกล่องพัสดุต่อชิ้นให้คุ้มค่า

ในการคำนวณต้นทุนกล่องแพคเกจจิ้งในการแพ็คสินค้า มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาไม่ใช่แค่ดูราคากล่องอย่างเดียว ต้องรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย เช่น

1. ราคากล่องต่อใบ + วัสดุบรรจุภัณฑ์เสริม

(กระดาษกันกระแทก ฟีล์มกาว ฯลฯ) คือตัวกำหนดราคากล่องพัสดุเป็นหลัก กล่องกระดาษลูกฟูกมีหลายเกรด เริ่มจาก 3 ชั้น 5 ชั้น ไปจนถึง 7 ชั้น ยิ่งหนายิ่งแข็งแรง ราคายิ่งแพง แต่ก็ปกป้องสินค้าได้ดีกว่า สำหรับสินค้าทั่วไป กล่อง 3 ชั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นของเปราะหรือหนัก ควรเลือก 5 ชั้นจะปลอดภัยกว่า

2. ค่าแรงบรรจุ

ประเด็นที่หลายคนมองข้ามแต่สำคัญมาก แน่นอนว่าปัจจุบันการขายของออนไลน์นั้นกำลังมา ยอดขายแต่ละร้านก็โตดีตามไปด้วย แต่เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น ปัญหาเรื่องค่าแรงการแพ็คก็ตามมา จากประสบการณ์ที่เห็นหลายร้าน เวลายอดขายพุ่งจาก 50 ออเดอร์เป็น 200 – 300 ออเดอร์ต่อวัน เจ้าของร้านต้องนั่งแพ็คกันจนดึก หรือต้องจ้างพนักงานเพิ่ม ซึ่งค่าแรงคนแพ็คก็ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของสินค้า ปัจจุบันการลดค่าแรงงานในการแพ็คจึงช่วยได้มาก อย่างการใช้เครื่องจักรในการแพ็ค ที่ทั้งรวดเร็วและประหยัดค่าแรง สำหรับร้านที่มียอดสูง เครื่องซีลกล่องอัตโนมัติหรือเครื่องพับกล่องจะช่วยลดเวลาได้ถึง 60 – 70% บางร้านลงทุนเครื่องแพ็คอัตโนมัติราคาหลักแสน แต่คืนทุนได้ภายใน 8 – 12 เดือนจากการประหยัดค่าแรง

3. ค่าจัดส่ง

บริษัทขนส่งส่วนใหญ่จะคิดตามขนาดกล่องกระดาษ ไม่ใช่น้ำหนักอย่างเดียว (Dimensional weight) ทำให้การเลือกกล่องขนาดพอดีกับสินค้าสำคัญมาก

4.ต้นทุนการเก็บรักษา

ถ้าซื้อจำนวนมาก ต้องคิดค่าเช่าพื้นที่หรือค่าโอกาสของเงินทุน บางร้านสั่งกล่อง 6 เดือนล่วงหน้าเพื่อได้ราคากล่องพัสดุที่ถูก แต่กินพื้นที่คลังสินค้าไปเยอะ ดังนั้นควรมีการวางแผนการสั่งซื้อกล่องพัสดุว่าช่วงไหนที่ออเดอร์เยอะ หรือศึกษาวิธีการเลือกกล่องพัสดุ
• เลือกขนาดกล่องให้พอดีกับสินค้า อย่าใหญ่เกินไป
• ถ้าสั่งประจำ ควรเจรจาราคากับผู้จำหน่ายเป็นรายเดือน
• พิจารณาใช้กล่องมาตรฐานแทนการสั่งทำพิเศษ
• ศึกษาเรื่อง Dimensional weight ของบริษัทขนส่งที่ใช้

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาซื้อกล่องพัสดุ

จากที่เห็นหลายๆ ร้านมา มีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ที่ทำให้เสียเงินหรือเสียลูกค้า

1. ผิดพลาดที่ 1 :

เน้นราคาถูกเป็นหลัก กล่องถูกจนเกินไปมักจะมีปัญหาคุณภาพ รอยขาด แตกง่าย หรือสีไม่ตรงตามที่สั่ง พอลูกค้าได้รับของแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี กระทบไปถึงการรับรู้คุณภาพสินค้าด้วย

2. ผิดพลาดที่ 2 :

สั่งมากเกินความจำเป็น เห็นราคาส่วนลดจำนวนมากแล้วสั่งเยอะ แต่ลืมคิดเรื่องพื้นที่เก็บ หรือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ บางคนสั่งกล่องไว้ 6 เดือน แต่ 2 เดือนหลังเปลี่ยนสินค้าหรือโลโก้ใหม่ก็อาจใช้กล่องไม่ได้

3. ผิดพลาดที่ 3 :

กล่องที่ไม่แข็งแรง แต่ต้องทนใช้เพราะต้นทุนจม เกิดจากไม่ทดสอบก่อนสั่งจำนวนมาก ควรสั่งตัวอย่างมาทดสอบการใช้งานจริงก่อน ลองใส่สินค้า ลองส่งไปให้เพื่อนดู ถึงจะสั่งจำนวนมาก

4. ผิดพลาดที่ 4 :

ไม่คิดเรื่อง Storage และ Inventory Turnover กล่องก็เป็นสินค้าคงคลังนึง ถ้าซื้อมากเกินไปจะกินเงินทุนหมุนเวียน

เลือกกล่องอย่างไรให้คุ้มค่าและเหมาะกับธุรกิจ

การเลือกซื้อกล่องพัสดุไม่ใช่แค่เรื่องราคาถูกแพง แต่เป็นการลงทุนในประสบการณ์ลูกค้าและภาพลักษณ์แบรนด์
หลักการเลือกอาจเริ่มจากวิเคราะห์ประเภทสินค้า กลุ่มลูกค้า และงบประมาณ แล้วค่อยหากล่องที่สมดุลระหว่างราคาและคุณภาพ อย่าลืมคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ใช่แค่ราคากล่องอย่างเดียว ถ้าเป็นธุรกิจเล็กแนะนำเริ่มจากกล่องขนาดมาตรฐานก่อน พอมียอดขายที่คงที่แล้วค่อยลงทุนกล่องสั่งทำ สำหรับธุรกิจใหญ่ ควรทำ Packaging Strategy ระยะยาวและ Negotiate ราคาเป็นรายปี หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการแพคเกจจิ้งที่เข้าใจความต้องการของธุรกิจไทย ทีมงานที่มีประสบการณ์แลแพคเกจจิ้งให้แบรนด์ต่างๆ มามากกว่า 3,000 แบรนด์ พร้อมให้คำปรึกษาตั้งแต่การเลือกวัสดุ การออกแบบ ไปจนถึงการคำนวณต้นทุนที่เหมาะสม สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ข้อมูลด้านล่างนี้
หรือช้อปสินค้าพร้อมส่งได้เลย แค่คลิก!