“อุ๊ย! พี่คนนั้นหล่อดี… พี่คนนี้ก็เท่จัง…” เชื่อว่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น หลายคนอาจต้องเคยตกหลุมรักหรือมีปั๊บปี้เลิฟ (Puppy Love) กับใครสักคนในวัยใสแน่ๆ ซึ่งปั๊บปี้เลิฟมักเกิดจากความประทับใจแรกเห็นจนทำให้เราอยากรู้จักกับคนๆ นั้นให้มากขึ้น และบ่อยครั้งที่ความประทับใจเหล่านั้นมักจะเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตา ซึ่งก็เหมือนกับสินค้า ที่หากสินค้าใดสินค้าหนึ่งมีกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยสะดุดตา ก็จะสร้างความประทับใจแรกเห็นได้ไม่ยาก เพราะใครๆ ต่างก็เลือกจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอกก่อนเป็นอย่างแรก สินค้าและบริการเองก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากสินค้ามีแพ็คเกจจิ้งที่ดูสวยงามโดดเด่น ก็ทำให้ดูเป็นที่น่าสนใจมากกว่าสินค้าที่มีแพ็คเกจจิ้งธรรมดา ๆ ไม่น่าดึงดูดอะไร
แพ็คเกจจิ้งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแพ็คเกจจิ้งที่ผลิตมาจากพลาสติกหรือกระดาษ แต่เนื่องจากปัจจุบัน เทรนด์ที่กำลังมาแรงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ต้องยกให้เทรนด์รักษ์โลก ซึ่งทำให้สินค้าที่มี Packaging Design เป็นกระดาษนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และที่สำคัญคือยังมีต้นทุนที่ไม่สูงมากอีกด้วย
สำหรับ Packaging Design ที่ผลิตมาจากกระดาษนั้น สามารถออกแบบได้อย่างหลากหลายตามความเหมาะสมในการนำไปใช้งาน เริ่มต้นผลิตขั้นต่ำน้อยที่ 100 ใบเท่านั้น และยังสามารถออกแบบให้ตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าได้ โดยการออกแบบแพ็คเกจจิ้งให้สวยจะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไม่ต้องสงสัย เคล็ดลับการออกแบบ Packaging Design ให้ปัง! ไม่พัง! มีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
01
Packaging Design – ออกแบบโครงสร้างและรูปทรงกล่อง
โดยปกติแล้ว กล่องแพ็คเกจจิ้งที่เรามักจะเห็นกันอยู่ทั่วไปมักจะมีรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยม แต่หากต้องการความโดดเด่นก็สามารถออกแบบกล่องแพ็คเกจจิ้งให้เป็นรูปทรงอื่นที่แปลกตาได้ เช่น กล่องทรงห้าเหลี่ยมหลากหลายแบบ โดยไม่ต้องยึดกับสี่เหลี่ยมแบบเดิมๆ02
วัสดุที่ใช้ในการผลิต
ในการผลิต Packaging Design นั้นสามารถเลือกใช้วัสดุในการผลิตที่หลากหลายได้ตามต้องการ แต่ทั้งนี้ การเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกัน ก็ย่อมให้คุณค่าของแพ็คเกจจิ้งสินค้าที่แตกต่างกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระดาษลูกฟูก กระดาษแป้ง กระดาษอาร์ตการ์ด หรือกระดาษคราฟท์ โดยการเลือกวัสดุกระดาษนั้นมักจะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งาน คอนเซ็ปต์ของแบรนด์ และต้นทุนที่ทางแบรนด์ตั้งไว้ โดยกระดาษแต่ละชนิดเหมาะกับสินค้าที่แตกต่างกัน เช่นในการผลิต Packaging Design นั้นสามารถเลือกใช้วัสดุในการผลิตที่หลากหลายได้ตามต้องการ แต่ทั้งนี้ การเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกัน ก็ย่อมให้คุณค่าของแพ็คเกจจิ้งสินค้าที่แตกต่างกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระดาษลูกฟูก กระดาษแป้ง กระดาษอาร์ตการ์ด หรือกระดาษคราฟท์ โดยการเลือกวัสดุกระดาษนั้นมักจะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งาน คอนเซ็ปต์ของแบรนด์ และต้นทุนที่ทางแบรนด์ตั้งไว้ โดยกระดาษแต่ละชนิดเหมาะกับสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น• กระดาษอาร์ตการ์ด เหมาะกับการนำมาใช้ผลิตกล่องแพ็คเกจจิ้งแบรนด์สินค้าเครื่องสำอาง หรือขนมเบเกอรี่
• กระดาษแป้ง เหมาะกับการนำมาใช้ผลิตกล่องแพ็คเกจจิ้งแบรนด์สินค้าประเภทขนมเบเกอรี่ ยา หรือแบรนด์ที่ต้องการเน้นต้นทุนแพ็คเกจจิ้งที่ถูก
• กระดาษคราฟท์ เหมาะกับสินค้าประเภทอาหาร สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง ได้รับการรับรองจาก FDA และเหมาะกับแบรนด์ที่ประกาศตัวว่าเป็นแบรนด์รักษ์โลก ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะกระดาษคราฟท์นั้นผลิตมาจากเยื่อไม้ 100% สามารถสัมผัสอาหารได้
• กระดาษลูกฟูก เหมาะกับการนำมาใช้ผลิตกล่องแพ็คเกจจิ้งแบรนด์สินค้าทั่วไป หรือสินค้าที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก
03
คำนึงถึงราคาและจำนวนสั่งผลิต
การผลิตกล่องแพ็คเกจจิ้งจากกระดาษนั้นมีข้อดีอยู่ตรงที่มีต้นทุนในการผลิตไม่แพง อีกทั้งจำนวนเริ่มต้นในการผลิตก็น้อยเพียง 100 ใบเท่านั้น และแพ็คเกจจิ้งจากกระดาษยังสามารถเพิ่มเทคนิคการพิมพ์ ปรับรูปทรง พิมพ์ลงลวดลายให้ สามารถนำมาผลิตให้ดูพรีเมี่ยมได้ เหตุผลนี้คงเป็นเหตุผลที่ตอบโจทย์กับเจ้าของธุรกิจได้เป็นอย่างดี04
ใช้วัสดุกระดาษที่ย่อยสลายได้ 100%
ข้อนี้สำคัญมากๆ สำหรับเทรนด์ Packaging Design ในยุคปัจจุบัน เพราะเทรนด์สมัยใหม่เน้นไปที่เทรนด์การรักษ์โลกมากขึ้น การใช้กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้ 100% จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดการเกิดภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสมัยนี้มีขยะพลาสติกมากมายที่ย่อยสลายยาก ทำให้เกิดปัญหาขยะล้นโลก หากปรับเปลี่ยนมาใช้แพ็คเกจจิ้งที่ผลิตจากกระดาษ จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
สำหรับเจ้าของแบรนด์หรือพ่อค้าแม่ค้ารายไหนที่ต้องการออกแบบกล่องพัสดุหรือกล่องแพ็คเกจจิ้งด้วยกระดาษ ทาง PICK A BOX ก็มีบริการรับผลิตแพ็คเกจจิ้ง กล่องพัสดุ กล่องไปรษณีย์ครบวงจร อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โดยเฉพาะในการให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อให้ได้กล่องที่มีคุณภาพและเหมาะกับภาพลักษณ์ของทางแบรนด์มากที่สุด เพราะหากแบรนด์มี Packaging Design ที่สวยโดดเด่น ก็อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น